




ลักษณะของน้ำที่ท่วม
1. ท่วมแบบไหลบ่า น้ำในดินจะไม่อิ่มตัวด้วยน้ำ ยังมีฟองอากาศติดอยู่ในชั้นดินให้รากได้ใช้ ความเสียหายกับต้นไม้จะน้อยกว่า
2. ท่วมแบบน้ำในดินค่อยๆอิ่มตัวจากด้านล่างขึ้นมาตลอดช่วงฝน จนดินอิ่มตัวด้วยน้ำตลอดหน้าตัดดิน และอาจมีน้ำไหลผิวดินมาท่วมเพิ่มเติม การท่วมแบบนี้อันตรายกว่าแบบแรก เพราะอากาศถูกไล่ออกจากชั้นดินขึ้นมาเรื่อยๆจนหมดไปจากชั้นดิน เป็นลักษณะที่เกิดกับพื้นที่ในบริเวณที่ลุ่มปากแม่น้ำที่รับน้ำตลอดฤดูฝนจากพื้นที่รับน้ำด้านบนที่เป็นที่สูงกว่า เช่นที่ลุ่มภาคกลาง
ผลการศึกษาต้นมะม่วงภายใต้สภาวะน้ำขัง (เมื่อปี 2538) สรุปได้ว่า
1. การขังน้ำทำให้รากหายใจได้ลดลง การดูดใช้น้ำและธาตุอาหารจากดินจะลดลงอย่างช้าๆต่อเนื่อง ต้นแสดงอาการเหมือนขาดน้ำ ใบลู่ลง ใบจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เพราะสูญเสียคลอโรฟิลล์
2. การตอบสนองของต้นมะม่วงคือการปิดปากใบแคบลง เพื่อลดอัตราคายน้ำ ซึ่งจะทำให้อัตราสังเคราะห์แสงสุทธิลดลงไปด้วย
3. ต้นมะม่วงจะคงสภาพที่มีกิจกรรมต่ำกว่าปรกติต่อไปได้เป็นเวลานาน โดยช่วงแรกต้นจะใช้สารอาหารสำรอง(แป้งที่สะสม) ในแต่ละส่วนของต้นเพื่อเสริมกับการได้สารอาหารจากใบลดลง เพราะเมื่ออัตราคายน้ำลดลงจะทำให้อัตราการลำเลียงสารอาหารจากใบไปยังส่วนอื่นรวมถึงรากจะลดลงด้วย การทนสภาวะน้ำขังของต้นจึงขึ้นกับความสมบูรณ์ของอาหารสะสมภายในต้นก่อนเกิดการขังน้ำ
4. ในช่วง 15 วันแรก ปากใบของมะม่วงยังแสดงการเปิดปิดที่ตอบสนองกับสภาพอากาศ หลังจากนั้น ปากใบจะอยู่ในสภาพปิดแคบตลอดเวลา
5. หลังจากขังน้ำต่อเนื่องถึงประมาณ 25 วัน ต้นมะม่วงที่ขังน้ำจะเริ่มมีอัตราหายใจสูงกว่าอัตราสังเคราะห์แสง คือในช่วงเช้าต้นยังมีอัตราสังเคราะห์แสงสุทธิเป็นบวก คือปรุงอาหารในอัตราสูงกว่าที่ใช้ในการหายใจเพื่อดำรงชีพ แต่ในช่วงบ่ายที่สภาพอากาศแห้งรุนแรงขึ้น (แดดจัด อุณหภูมิสูงขึ้น ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศลดลง) อัตราหายใจจะสูงกว่าอัตราสังเคราะห์แสง คือต้นมะม่วงต้องใช้อาหารที่สร้างเก็บไว้มาใช้ในการดำรงชีพ กล่าวคือในช่วงสภาพอากาศแห้งรุนแรงต้นจะมีอัตราสังเคราะห์แสงสุทธิกลายเป็นลบ
6. ช่วงน้ำลดเป็นช่วงอันตราย เพราะรากที่เสียหายมานานจะไม่สามารถดูดน้ำจากดินที่แห้งลง ให้ได้ปริมาณพอเพียงกับความต้องการใช้ของใบ (แม้จะมีอัตราคายน้ำต่ำ) และต้นเผชิญการขาดน้ำอีกครั้งในสภาพที่ต้นอ่อนแอและมีอาหารสำรองลดลงมากแล้ว
วิธีการที่จะช่วยให้ต้นมีโอกาสรอดและฟื้นตัวจากสภาพน้ำท่วม
1. ลดสภาพรุนแรงของอากาศที่ใบสัมผัสในช่วงบ่าย โดยปรับสภาพใบด้านทิศตะวันตก ลดความเข้มของแสงที่ใบบนต้นซีกด้านตะวันตก เช่นฉีดพ่นใบให้มีชั้นสีขาวเคลือบด้วยดินขาว (คาโอลินรวมกับสารจับใบ) หรือคลุมต้นด้วยซาแลนครึ่งต้นซีกตะวันตก หรือลดภาระการเลี้ยงดูใบซีกตะวันตกด้วยการฉีดสารเพื่อให้ใบร่วงออกบ้าง (ซึ่งไม่มีผลในการชักนำให้สร้างตาดอก เพราะการสร้างตาดอกจะใช้สารอาหารสะสมในต้น) การบรรเทาความรุนแรงของสภาพอากาศนี้ให้ทำเฉพาะซีกตะวันตก ในขณะที่ใบด้านซีกตะวันออกปล่อยให้ได้แสงธรรมชาติเพื่อจะให้สังเคราะห์แสงให้ได้มากที่สุด
2. รักษาความชื้นในดินไม่ให้ลดเร็วเกินไปหลังน้ำลด อาจต้องโปรยน้ำในอากาศและผิวดิน ให้สารช่วยการเติบโตของราก เช่นปุ๋ยไนโตรเจน แต่ให้ในอัตราอ่อนๆ เพราะรากยังมีสภาพอ่อนแอ
3. หลีกเลี่ยงการเหยียบผิวดินขณะที่ยังเปียกเกินไป เพราจะทำให้กลายเป็นโคลน ซึ่งจะเป็นแผ่นปิดหน้าดิน ทำให้ยากต่อการถ่ายเทอากาศหรือการให้น้ำกับราก
สุนทรี ยิ่งชัชวาลย์
12.11.53
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
รายงานการให้อากาศเพื่อกู้ชีวิตต้นมะม่วงที่ประสบอุทกภัย